ขิง Ginger หัวขิงใช้ดับกลิ่นคาวอาหาร ให้กลิ่นหอม สรรพคุณมากมาย เช่น บำรุงร่างกาย รักษาโรคต่างๆ ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี
ขิง ภาษาอังกฤษ เรียก Ginger ชื่อวิทยาศาสตร์ของขิง คือ Zingiber officinale Roscoe ขิงสามารถพบได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมนำหัวขิงมาใช้ประกอบอาหาร ขิงมีสารอาหารต่างๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และ เบต้าแคโรทีน ซึ่งสรรพคุณช่วยบำรุงระบบโลหิตเป็นอย่างดี สามารถประโยชน์ใช้ได้ทั้งต้นไม่ว่าจะเป็น ใบ ดอก แก่น ผล ราก
ลักษณะของต้นขิง
ต้นขิง พืชล้มลุก สามารถเจริญเติบโตได้ในประเทศเขตร้อน อย่างประเทศไทย สามารถขยายพันธ์โดยทางการแตกหน่อ ขิงเป็นพืชชนิดเดียวกันกับ ข่า ขมิ้น มีรสเผ็ดและกลิ่นหอม แต่ผลยิ่งแก่จะมีรสเผ็ดร้อนมากขึ้น ลักษณะของต้นขิง มีดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของขิง
ขิงมีประโยชน์ด้านสมุนไพร และ ใช้ในการบริโภคในอาหารไทย มาช้านาน นักโภชนาการได้ศึกษา คุณค่าทางโภชนาการของขิง ขนาด 100 กรัม พบว่า ให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารต่างๆ ประกอบด้วย กากใยอาหาร 0.8 กรัม คาร์โบไฮเดรท 4.4 กรัม โปรตีน 0.4 กรัม ไขมัน 0.6 กรัม ธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม แคลเซียม 18 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม เบต้าคาโรทีน 10 ไมโครกรัม ไธอะมีน 0.02 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มิลลิกรัม ไนอะซีน 1 มิลลิกรัม และ ไลโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม
สรรพคุณของขิง
สำหรับขิง สามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค ทั้งต้น ซึ่งสรรพคุณของขิง มีดังนี้
วิธีทำน้ำขิง น้ำขิงสามารถดื่มได้ทุกวัน เก็บรักษาในตู้เย็นได้เป็นเดือน สามารถเตรียมเพื่อดื่มดับกระหาย บำรุงร่างกาย รักษาโรคต่างๆได้ โดย ตั้งไฟต้มน้ำให้เดือด จึงเบาไฟลง เคี่ยวประมาณต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมง จนน้ำขิงเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ ดับไฟยกลงจากเตาได้ เมื่อต้องการดื่ม เติมน้ำตาลทรายแดง 1-2 ช้อนชา (ไม่เติมน้ำตาลจะดีที่สุดแต่จะมีรสเผ็ดร้อน) คนจนเข้ากัน ดื่มได้ทั้งแบบร้อน และแบบเย็นตามต้องการ
โทษของขิง
สำหรับการใช้ประโยชน์จากขิง มีข้อควรระวัง ดังนี้