บอน พืชในที่ราบลุ่ม สมุนไพร ต้นบอนเป็นอย่างไร คุณค่าทางโภชนาการของบอน สรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยห้ามเลือด ช่วยขับน้ำนมสตรี โทษของบอน มีอะไรบ้างบอน สมุนไพร สรรพคุณของบอน

ต้นบอน ภาษาอังกฤษ เรียก Elephant ear ลักษณะใบใหญ่คล้ายหูช้าง ชื่อวิทยาศาสตร์ของบอน คือ Colocasia esculenta (L.) Schott สำหรับชื่อเรียกอื่นๆ ของบอน เช่น ตุน บอนหอม บอนจืด บอนเขียว บอนจีนดำ บอนท่า บอนน้ำ ขื่อที้พ้อ ขือท่อซู่ คึทีโบ คูชี้บ้อง คูไทย ทีพอ กลาดีไอย์ กลาดีกุบุเฮง บอนหวาน เป็นต้น บอน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตที่ราบลุ่มของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลักษณะของต้นบอน

ต้นบอน เป็นพืชล้มลุก ที่เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ราบลุ่ม ชอลดีที่มีความอุดมสมบูรณ์ อุ้มน้ำได้ดี สามารถพบบอนได้ทั่วไป ในทุกภาคของประเทศไทย อายุของบอนหลายปี สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ การปักชำหัว ลักษณะของต้นบอน มีดังนี้

  • ลำต้นของบอน บอนมีเหง้าลักษณะเป็นทรงกระบอกอยู่ใต้ดิน ลำต้นแทงออกจากเหง้า ลักษณะลำต้นตั้งตรง อวบน้ำ สีเขียว ความสูงประมาณ 1 เมตร
  • ใบบอน ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว หนึ่งก้านใบมี 1 ใบ ลักษณะใบใหญ่ คล้ายรูปหูช้าง เป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบเว้าแหลม โคนใบแยกเป็นแฉก ใบสีเขียว ผิวใบเรียบ
  • ดอกบอน เป็นดอกเดี่ยว ดอกออกเป็นช่อ แทงออกจากลำต้น มีกาบสีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองนวลหุ้ม ดอกสีเขียว มีกลิ่นหอม
  • ผลบอน ผลสดมีสีเขียว ภายในมีเมล็ด

คุณค่าทางโภชนาการของบอน

สำหรับการรับประทานบอนเป็นอาหาร สามารถรับประทานใบบอน และ ก้านใบบอน นักโภชนาการได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของบอน มีดังนี้

คุณค่าทางโภชนาการของใบบอน ขนาด 100 กรัม ให้พลังงานมากถึง 112 แคลอรี มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 25.8 กรัม โปรตีน 2.1 กรัม ไขมัน 0.1 กรัม กากใยอาหาร 1 กรัม วิตามินเอ 103 หน่วยสากล วิตามินบี1 0.15 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.17 มิลลิกรัม วิตามินบี3 1.0 มิลลิกรัม วิตามินซี 2 มิลลิกรัม ธาตุแคลเซียม 84 มิลลิกรัม และ ธาตุฟอสฟอรัส 54 มิลลิกรัม

คุณค่าทางโภชนาการของก้านใบบอน ขนาด 100 กรัม ให้พลังงานมากถึง 24 แคลอรี มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 5.8 กรัม โปรตีน 0.5 กรัม ไขมัน 0.9 กรัม กากใยอาหาร 0.9 กรัม วิตามินเอ 300 หน่วยสากล วิตามินบี1 0.02 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม วิตามินบี3 13 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มิลลิกรัม ธาตุแคลเซียม 49 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 25 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 0.9 มิลลิกรัม

สรรพคุณของบอน

สำหรับการใช้บอนด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค สามารถใช้ประโยชน์จาก รากบอน หัวบอน น้ำจากกาบใบบอน ก้านใบบอน น้ำยางบอน ไหลบอน สรรพคุณของบน มีดังนี้

  • รากบอน สรรพคุณแก้เจ็บคอ แก้ท้องเสีย
  • หัวบอน สรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยห้ามเลือด ช่วยขับน้ำนมสตรี
  • น้ำจากกาบบอน สรรพคุณแก้ไข้ ช่วยห้ามเลือด แก้พิษแมลงป่อง แก้ฟกช้ำ
  • ลำต้นบอน สรรพคุณรักษาแผลงูกัด แก้พิษคางคก
  • น้ำยางบอน สรรพคุณแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย กำจัดหูด
  • ไหลบอน สรรพคุณรักษาฝีตะมอย

โทษของบอน

ต้นบอนมีความเป็นพิษ โดยในน้ำยางของบอน หากสัมผัสจะระคายเคืองผิวหนัง จะทำให้เกิดอาการแสนร้อน หากรับประทานแบบสดๆ ทำให้เกิดน้ำลายมาก บวมลิ้น ปาก เพดาน และใบหน้า

บอน พืชในที่ราบลุ่ม พืชล้มลุก สมุนไพร ลักษณะของต้นบอน เป็นอย่างไร คุณค่าทางโภชนาการของบอน สรรพคุณของบอน เช่น เป็นยาระบาย ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยห้ามเลือด ช่วยขับน้ำนมสตรีโทษของบอน มีอะไรบ้าง

Fongza.com เว็บไซต์ที่ทำเนื้อหาเกี่ยวกับการให้ความรู้ด้านสุขภาพ โดยเราเชื่อว่าสุขภาพที่ดีต้องดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ เนื้อหาของเราจึงประกอบด้วย โรคต่างๆ การรักษาโรค สมุนไพร การเลี้ยงลูก แม่และเด็ก การออกกำลังกาย ความสวยความงาม โหงวเฮ้ง และ อาหารสุขภาพ โดยเน้นการให้ความรู้ ไม่ได้มีเจตนาให้คำวินิจฉัยการรักษาโรค การที่ท่านนำเนื้อหาของเราไปใช้ประโยชน์ให้ปรึกษาผู้เชียวชาญก่อน หากป่วยให้เข้ารับการรักษากับแพทย์เท่านั้น

ขอบคุณท่านผู้สนับสนุนการทำเนื้อหา ทรัพทย์ทวี จำหน่ายถุงกระสอบ ถุงกระสอบสำหรับงานขนย้ายต่างๆ ถุงสายรุ้ง ถุงไนลอน ถุงการ์ตูน และ ถุงล้อลาก ถุงราคาถูกที่ใครๆก็จับต้องได้

เผือก ( Taro ) สมุนไพร หัวเผือกเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต ลักษณะของต้นเผือก คุณค่าทางโภชนาการของเผือก ประโยชน์และสรรพคุณของเผือก เช่น บำรุงกำลัง ช่วยการขับถ่าย

เผือก สมุนไพร สมุนไพรไทย

ต้นเผือก ( Taro ) ชื่อวิทยาศาสตร์ของเผือก คือ Colocasia esculenta (L.) Schott ชื่อเรียกอื่นๆของเผือก เช่น ตุน บอนเขียว บอนจีนดำ บอนท่า บอนน้ำ โอ่วไน โอ่วถึง โทวจือ เป็นต้น สำหรับ สายพันธุ์เผือก ที่พบในไทยแบ่งได้ 4 พันธุ์ คือ เผือกหอม เผือกเหลือง เผือกไม้ และ เผือกตาแดง

ต้นเผือก เป็นพืชตระกูลบอน มีหัวอยู่ใต้ดิน นิยมนำหัวเผือกมารับประทานเป็นอาหาร เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต สามารถกินทดแทนข้าวได้ เผือกมีถิ่นกำเนิดในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทางตอนใต้ของประเทศแถบเอเชียกลาง ซึ่งปัจจุบันการปลูกเผือกนั้นนิยมปลูกและรับประทานทั่วไป

สายพันธุ์เผือก

สำหรับต้นเผือก มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์เผือก มีมากกว่า 200 พันธุ์ ซึ่งสามารถแบ่งสายพันธุ์เผือก ได้ 2 ประเภท คือ เผือกสายพันธ์เอดโด ( eddoe ) และ เผือกสายพันธ์แดชีน ( dasheen ) รายละเอียด ดังนี้

  • เผือกสายพันธุ์เอดโด ( eddoe ) เป็นเผือกที่มีหัวขนาดไม่ใหญ่ และ มีหัวเล็กกว่าล้อมรอบอยู่หลายหัว
  • เผือกสายพันธุ์แดชีน ( dasheen ) เป็นเผือกที่มีหัวขนาดใหญ่ และ มีหัวขนาดเล็กล้อมรอบ ใช้รับประทานได้

เผือกในประเทศไทย

เผือก จัดเป็นพืชเศรษฐกิจ มีการปลูกเผือกเพื่อขาย ซึ่ง สายพันธุ์เผือกในประเทศไทย มีหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์เผือกที่พบในประเทศไทย แบ่งได้ 4 สายพันธุ์ คือ

  • เผือกหอม เป็นชนิดหัวใหญ่ มีหัวเล็กติดอยู่กับหัวใหญ่เล็กน้อย ต้มรับประทานมีกลิ่นหอม กาบใบใหญ่สีเขียว
  • เผือกเหลือง หัวขนาดย่อม หัวสีเหลือง
  • เผือกไม้หรือเผือกไหหลำ หัวมีขนาดเล็ก
  • เผือกตาแดง ตาของหัวมีสีแดงเข้ม มีหัวเล็ก ๆ ติดอยู่รอบหัวใหญ่ เป็นกลุ่มจำนวนมาก กาบใบและเส้นใบสีแดง

แหล่งปลูกเผือกในประเทศไทย มีแหล่งปลูกเผือกที่สำคัญในทุกภาคของประเศ ได้แก่ ภาคเหนือ ( เชียงใหม่ พิษณุโลก ) ภาคกลาง  ( นครนายก นครสวรรค์ สระบุรี อยุธยา สุพรรณบุรี สิงห์บุรี นครปฐม ราชบุรี ) ภาคอีสาน ( นครราชสีมา สุรินทร์ ) ภาคใต้ ( ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราฏษ์ธานี )

ลักษณะของต้นเผือก

ต้นเผือก พืชตระกูลบอน เป็นพืชล้มลุก สามารถขยายพันธ์ได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ดพันธุ์ การแตกหน่อ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งการปลูกเผือก นิยมปลูกในช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนของทุกปี และเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมของทุกปี โดยลักษณะของต้นเผือก มีดังนี้

  • ลำต้นของเผือก เป็นลักษณะหัว ซึ่งอยู่ใต้ดิน ลักษณะของหัวเผือกค่อนข้างกลม เปลือกของหัวมีสีน้ำตาล ภายในหัวมีเนื้อในสีขาว
  • ใบของเผือก มีสีเขียว เป็นใบเดี่ยว มีขนาดใหญ่ ลักษณะของใบคล้ายรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบมนเป็นเส้นๆ มีก้านใบยาว ซึ่งความยาวก้านใบประมาณ 1 เมตร
  • ดอกเผือก ออกเป็นช่อ ดอกเผือกมีสีเขียว ก้านช่อดอก มีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ปลายกาบเรียวแหลมยาวคล้ายหาง ช่อดอกสั้นกว่ากาบ ดอกจะทยอยบาน
  • ผลเผือก มีสีเขียว เปลือกบาง ไม่ค่อยมีเมล็ด

คุณค่าทางโภชนาการของเผือก

สำหรับการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของเผือก นักโภชนาการได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของหัวเผือกดิบ และ ใบเผือกดิบ ซึ่งผลจากการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของเผือก มีดังนี้

คุณค่าทางโภชนาการของหัวเผือกดิบ ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 112 กิโลแคลอรี มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 26.46 กรัม น้ำตาล 0.40 กรัม กากใยอาหาร 4.1 กรัม ไขมัน 0.20 กรัม โปรตีน 1.5 กรัม น้ำ 70.64 กรัม วิตามินเอ 76 หน่วยสากล วิตามินบี1 0.095 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.025 มิลลิกรัม วิตามินบี3 0.600 มิลลิกรัม วิตามินบี5 0.303 มิลลิกรัม วิตามินบี6 0.283 มิลลิกรัม วิตามินบี9 22 ไมโครกรัม วิตามินซี 4.5 มิลลิกรัม วิตามินอี 2.38 มิลลิกรัม วิคามินเค 1.0 ไมโครกรัม ธาตุแคลเซียม 43 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 0.55 มิลลิกรัม ธาตุแมกนีเซียม 33 มิลลิกรัม ธาตุแมงกานีส 0.383 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 84 มิลลิกรัม ธาตุโพแทสเซียม 591 มิลลิกรัม ธาตุโซเดียม 11 มิลลิกรัม ธาตุสังกะสี 0.23 มิลลิกรัม ธาตุทองแดง 0.172 มิลลิกรัม และ
ธาตุซีลีเนียม 0.7 ไมโครกรัม

คุณค่าทางโภชนาการของใบเผือกดิบ ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 42 กิโลแคลอรี มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 6.7 กรัม น้ำตาล 3 กรัม กากใยอาหาร 3.7 กรัม ไขมัน 0.74 กรัม โปรตีน 5 กรัม วิตามินเอ 241 ไมโครกรัม เบตาแคโรทีน 2,895 ไมโครกรัม ลูทีนและซีแซนทีน 1,932 ไมโครกรัม วิตามินบี1 0.209 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.456 มิลลิกรัม วิตามินบี3 1.513 มิลลิกรัม วิตามินบี6 0.146 มิลลิกรัม วิตามินบี9 129 ไมโครกรัม วิตามินซี 52 มิลลิกรัม วิตามินอี 2.02 มิลลิกรัม วิคามินเค 108.6 ไมโครกรัม ธาตุแคลเซียม 107 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 2.25 มิลลิกรัม ธาตุแมกนีเซียม 45 มิลลิกรัม ธาตุแมงกานีส 0.714 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 60 มิลลิกรัม ธาตุโพแทสเซียม 648 มิลลิกรัม และ ธาตุสังกะสี 0.41 มิลลิกรัม

สรรพคุณของเผือก

สำหรับประโยชน์ของเผือก ด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค สามารถใช้ประโยชน์จาก หัวเปือก ใบเผือก กาบในเผือก และ น้ำยางจากเผือก โดยรายละเอียด ดังนี้

  • หัวของเผือก สามารถใช้บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง เป็นยาลดไข้ บำรุงกระดูก ช่วยป้องกันฟันผุ ช่วยในการขับถ่าย แก้ท้องเสีย ช่วยบำรุงไต
  • น้ำยางของเผือก สามารถใช้ถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้
  • ใบของเผือก สามารถใช้รักษาแผล ลดอาการอักเสบ แก้ปวด รักษาโรคผิวหนัง แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • กาบใบของเผือก สามารถใช้รักษาแผล ถอนพิษจากแมลงกัดต่อย แก้ปวด แก้อักเสบ รักษาโรคผิวหนัง แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย

โทษของเผือก

สำหรับการรับประทานเผือก ต้องทำให้สุกก่อน และ กำจัดยางจากเผือกก่อน หากเตรียมเผือกไม่ดีก่อนนำมารับประทาน สามารถทำให้เกิดโทษ ได้ โดย โทษของเผือก มีดังนี้

  • เผือกดิบ ไม่สามารถนำมากินได้ เนื่องจาก เผือกดิบมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต เป็นพิษ ทำให้เกิดนิ่วในไต ทำให้เกิดการระคายเคืองลำคอ และ ระบบทางเดินอาหาร
  • สำหรับบางคนที่มอาการแพ้เผือก หากพบว่ามีอาการคันในช่องปาก ลิ้นชา หลังจากกินเผือก ต้องหยุดรับประทานและพบแพทย์ทันที

Fongza.com เว็บไซต์ที่ทำเนื้อหาเกี่ยวกับการให้ความรู้ด้านสุขภาพ โดยเราเชื่อว่าสุขภาพที่ดีต้องดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ เนื้อหาของเราจึงประกอบด้วย โรคต่างๆ การรักษาโรค สมุนไพร การเลี้ยงลูก แม่และเด็ก การออกกำลังกาย ความสวยความงาม โหงวเฮ้ง และ อาหารสุขภาพ โดยเน้นการให้ความรู้ ไม่ได้มีเจตนาให้คำวินิจฉัยการรักษาโรค การที่ท่านนำเนื้อหาของเราไปใช้ประโยชน์ให้ปรึกษาผู้เชียวชาญก่อน หากป่วยให้เข้ารับการรักษากับแพทย์เท่านั้น

ขอบคุณท่านผู้สนับสนุนการทำเนื้อหา ทรัพทย์ทวี จำหน่ายถุงกระสอบ ถุงกระสอบสำหรับงานขนย้ายต่างๆ ถุงสายรุ้ง ถุงไนลอน ถุงการ์ตูน และ ถุงล้อลาก ถุงราคาถูกที่ใครๆก็จับต้องได้

ถุงกระสอบ ถุงล้อลาก ถุงสายรุ้ง ถุงการ์ตูน
ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove

สมุนไพรน่ารู้

คนทั่วไปมักเข้าใจว่าสมุนไพร คือ พืชที่สามารถนำมาทำเป็นยาเท่านั้น แต่จริงๆแล้ว สมุนไพรนั้นหมายรวมถึง สัตว์ หรือ แร่ธาตุจากธรรมชาติด้วย เราได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสมุนไพรไทยที่สามารถใช้รักษาโรคและบำรุงร่างกาย เพื่อประโยชน์กับทุกคน
ดอกคำฝอย สมุนไพร สรรพคุณของคำฝอย
ดอกคำฝอย
ว่านชักมดลูก สมุนไพร
ว่านชักมดลูก
โด่ไม่รู้ล้ม สมุนไพร สรรพคุณของโด่ไม่รู้ล้ม
ว่านโด่ไม่รู้ล้ม
หมามุ่ย สมุนไพร สรรพคุณหมามุ่ย
หมามุ่ย