สมุนไพรไทยมีอะไรบ้าง พืชพื้นบ้านใกล้ตัว ภูมิปัญญาการรักษาโรคจากธรรมชาติ สรรพคุณและโทษ สมุนไพรต่างๆมีประโยชน์อย่างไร ลักษณะทั่วไป คุณค่าทางโภชนาการ เป็นต้น
ความหมายของสมุนไพร
สมุนไพร หมายถึง พืชที่นำมาใช้ประโยชน์เป็นยาที่ได้จากพืช สัตว์ หรือ แร่ธาตุ โดยมีการผสม ปรุง หรือ แปรสภาพ ในรูปแบบต่างๆ ทั่วไปหากกล่าวถึง สมุนไพร คนทั่วไปมักนึกถึง พืชที่สามารถนำมาทำเป็นยาเท่านั้น แต่จริงๆแล้ว สมุนไพร หมายรวมถึง สัตว์ หรือ แร่ธาตุจากธรรมชาติด้วย อ้างอิงตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525
ยาสมุนไพร หมายถึง ยาที่ได้จากพฤกษาชาติ สัตว์ หรือ แร่ธาตุ ซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ เช่น ส่วนต่างๆของพืช ราก ลำต้น ใบ ดอก หรือ ผล ไม่ได้ผ่านกระบวนการแปรรูปใดๆ แต่สำหรับในทางการค้าแล้ว ยาสมุนไพรจะถูกแปรรูปให้อยู่ในรูปแบบต่างๆ เพื่อความสะดวกในการใช้และจำหน่าย เช่น ทำให้เล็กลง บดเป็นผง หรือ อัดเป็นแท่ง
ประโยชน์ของสมุนไพร
สำหรับประโยชน์ของสมุนไพร มีหลากหลายแต่วัตถุประสงค์หลักของการใช้สมุนไพร คือ การรักษาโรค และ ทำให้มนุษย์หายจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ เราสามารถสรุปประโยชน์ของสมุนไพร ได้ดังนี้
- สามารถใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตยา
- สามารถเป็นวัตถุดิบที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ตัวยา เช่น น้ำมันพืช สามารถนำมาทำเป็นวัตถุดิบสารตั้งต้นในการผลิตบีตาซิโตสเตียรอล ( beta sitosterol ) ซึ่งจะนำมาผลิตยาสเตียรอยด์ได้ เป็นต้น
- สามารถเป็นตัวอย่างของการศึกษาสารเคมีที่มีคุณสมบัติเหมือนตัวยาในสมุนไพร
- สามารถเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพ เช่น โสม นมผึ้ง เกสรผึ้ง เป็นต้น
ความสำคัญของสมุนไพรด้านการสาธารณสุข
มีหลักฐานว่ามนุษย์รู้จักการใช้ พืชสมุนไพรในการรักษาโรคมากว่า 6,000 ปี ซึ่งในระยะหลังๆ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์พัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น มีการผลิตยาจากสารเคมี มีการสังเคราะห์ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ง่าย สะดวกสบายกว่าการใช้สมุนไพรแบบเดิมๆ ทำให้ความต้องการในการใช้สมุนไพรลดลง แต่ในทางการสาธารณสุข ยอมรับว่า สารต่างๆที่สกัดจากสมุนไพรมีสรรพคุณที่ดีกว่ายาที่สังเคราะห์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และ ปัจจุบันยังมีพืชอีกหลายชนิดที่ยังไม่ได้มีการศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนานำมาทำตัวยา
นโยบายสาธารณสุขขั้นมูลฐานของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2522 มีโครงการสาธารณสุขขั้นมูลฐานในแผนพัฒนาการสาธารณสุข ตามแผนพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 ปี พ.ศ. 2520 – 2524 ต่อเนื่องจนถึงแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2535 – 2539 ระบุใหัพัฒนาสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยในงานสาธารณสุขมูลฐาน โดยรายละเอียด ดังนี้
- สนับสนุนและพัฒนาวิชาการและเทคโนโลยีพื้นบ้านอันได้แก่ การแพทย์แผนไทย เภสัช กรรมแผนไทย การนวดไทย สมุนไพร และเทคโนโลยีพื้นบ้าน เพื่อใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหา สุขภาพของชุมชน
- สนับสนุนและส่งเสริมการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง โดยใช้ สมุนไพร การแพทย์พื้นบ้าน การนวดไทย ในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน ให้เป็นไปอย่างถูกต้องเป็นระบบสามารถปรับประสานการดูแลสุขภาพแผนปัจจุบันได้ อาจกล่าวได้ว่าสมุนไพรสำหรับสาธารณสุขมูลฐานคือสมุนไพรที่ใช้ในการส่งเสริมสุขภาพ และการรักษาโรค/อาการเจ็บป่วยเบื้องต้น เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้มากขึ้น
ความสำคัญของสมุนไพรด้านเศรษฐกิจ
สมุนไพร จัดเป็นพืชเศรษฐกิจอีกประเภทหนึ่งของไทย ซึ่งสมุนไพรที่ประเทศไทยส่งออก เช่น กระวาน ขมิ้นชัน มะขามเปียก เป็นต้น พืชเหล่านี้มีความต้องการของตลาดต่างประเทศสูงมาก กรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีโครงการวิจัยพัฒนาระบบการผลิต การตลาด และ การสร้างงานในเกี่ยวกับสมุนไพร ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2530-2534 เพื่อพัฒนาคุณภาพและแหล่งปลูกสมุนไพรเพื่อการส่งออก โดยมีพืช 13 ชนิดที่ได้รับการศึกษา เพื่อส่งเสริม คือ มะขามแขก กานพลู เทียนเกล็ดหอย ดองดึง เร่ว กระวาน ชะเอมเทศ ขมิ้น จันทร์เทศ ใบพลู พริกไทย ดีปลี และ น้ำผึ้ง เป็นต้น
บทบาทของสมุนไพรด้านเศรษฐกิจ
สมุนไพรในปัจจุบันมีบทบาทและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ ซึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มีโครงการสมุนไพรกับสาธารณสุขมูลฐาน โดบได้สนับสนุนให้มีการใช้สมุนไพรเพื่อนำมาบำบัดโรค ในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐให้มากขึ้น รวมถึงมีการส่งเสริมให้มีการปลูกพืช เพื่อนำเอามาเป็นส่วนผสมของตำรับยา สมุนไพรจะช่วยให้ประเทศสามารถประหยัดเงินในการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และสร้างอาชีพให้กับชุมชนได้
นอกจากนั้น มีการส่งเสริมให้มีการศึกษาค้นคว้า เพื่อพัฒนายาจากสมุนไพร และ นำมาพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบที่สะดวกต่อการบริโภค เช่น แคปซูล ยาเม็ด ครีม ขี้ผึ้ง เป็นต้น รัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการวิจัยพืชต่างๆ ที่มีสารสำคัญที่มีคุณสมบัติทางเคมี เพื่อใช้ในการรักษาโรค รวมถึงส่งเสริมให้ศึกษาถึงความเป็นพิษและผลข้างเคียงจากการใช้พืชต่างๆในการรักษาโรค เพื่อความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์
ประเภทของสมุนไพร
การนำเอาทรัพยากรทางธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ด้านการรักษาโรคนั้นมีหลากหลาย ซึ่งการแบ่งประเภทของสมุนไพรไทย สามารถแบ่งได้หลายแบบ เริ่มตั้งแต่ แบ่งตามสรรพคุณในการรักษาโรค แบ่งตางลักษณะของพืช หรือ แบ่งตามที่มาของสมุนไพร ซึ่งเราสามารถแบ่ง ได้ 3 ลักษณะ คือ พืช สัตว์ และ แร่ธาตุ ที่นำมาใช้รักษาโรคได้ โดยรายละเอียด มีดังนี้
ประเภทของสมุนไพรแบ่งตามลักษณะของวัตถุดิบ
พืชสมุนไพร คือ พืชที่มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค ซึ่งพืชเป็นวัตถุดิบในการนำมาทำสมุนไพรมากที่สุด และยังสามารถแบ่งได้อีกมากมาย มีดังนี้
สัตว์สมุนไพร คือ ส่วนประกอบของสัตว์ที่ใช้ประโยชน์ในการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค มีความเชื่อต่างๆมากมายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ที่คนนำมาใช้ประโยชน์ทั้ง สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก และ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สมุนไพรที่ได้จากสัตว์ มีดังนี้
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
แร่ธาตุสมุนไพร คือ แร่ธาตุ ทรัพยากรที่ได้จากธรรมาชาติ ด้านธรณีวิทยา ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค สมุนไพรที่ได้จากแร่ธาตุต่างๆ มีดังนี้
ประเภทของสมุนไพรแบ่งตามสรรพคุณการรักษาโรค
ความสำคัญของสมุนไพรต่อการพัฒนาประเทศ
ประเทศไทยมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสม สำหรับการเจริญเติบโตของพืชหลายๆชนิด และด้วยภูมิปัญญาของมุษย์ สัญชาติญานการเอาตัวรอด จึงมีการนำเอาพืชต่างๆมาฝช้รักษาโรคมากมาย ผ่านการลองผิดลองถูก จนเกิดเป็นภูมิปัญาด้านสมุนไพร แต่การใช้ประโยชน์จากพืชเพื่อรักษาโรคต้องใช้อย่างระมัดระวัง และ เข้าใจโรคต่างๆอย่างแท้จริง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ. 2560 มาตรา 55 ว่าด้วย การสนับสนุนให้มีการพัฒนาด้านการแพทย์แผนไทยในการบริการสุขภาพ โดยบัญญัติไว้ว่า รัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด บริการสาธารณสุขต้องครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมและป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพด้วย รัฐต้องพัฒนาการบริการสาธารณสุขให้มีคุณภาพและมีมาตรฐาน และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ. 2560 มาตรา 69 ว่าด้วยเรื่อง การส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมเพื่อสร้างเศรษฐกิจให้กับ ประเทศ และการสร้างนวัตกรรมยาสมุนไพรก็นับเป็นโอกาสทองของคนไทย
รูปแบบของสมุนไพร
การนำเอาสิ่งต่างๆจากธรรมาชาติ ไม่ว่าจะเป็น พืช สัตว์ หรือ แร่ธาตุ เพื่อนำมาเป็นสมุนไพรในการรักษาโรค เราสามารถจำแนกรูปแบบของสมุนไพร ดังนี้
- รูปแบบของเหลว เป็นการนำเอาพืชมาต้มกับน้ำ หรือ คั้นเอาน้ำจากพืช หรือนำเอามาดองกับสุรา เป็นยาดอง
- รูปแบบของแข็ง เป็นลักษณะของยาลูกกลอน คือ การนำเอาส่วนต่างของพืชไปตากแห้ง และนำมาบดเป้นผล และ นำมาผสมกัยน้ำผึ้งและปั้นเป็นก้อนกลมๆ เพื่อให้กินง่าย
- รูปแบบกึ่งแข็งกึ่งเหลว เป็นลักษณะของยกที่ใช้พอก โดยนำส่วนต่างๆของพืชมาบดหรือตำให้แหลก และนำมาพอกรักษาโรค
- รูปแบบการอบไอน้ำหรือรมควัน เช่น การนำมารมควัน เพื่อใช้ในการสูดดมกลิ่น เพื่อรักษาแผล หรือ โรคเดี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
การนำ สมุนไพรไทย มาใช้ประโยชน์สำหรับรักษาโรค ด้วยการปรุงเพื่อรับประทาน ทา หรือประคบ นั้น แพทย์แผนโบราณ มีรูปแบบการปรุงยาจากสมุนไพร หลายรูปแบบ รายละเอียด ดังนี้
- การต้ม เป็นการนำเอาพืชมาต้ม นำน้ำที่ได้จากการต้มมาใช้รักษาโรค
- ยาชง เป็นการนำเอาพืชมาทำให้อยู่ในรูปแบบผง มาผสมกับน้ำร้อน เพื่อนำมาดื่มกิน
- ยาดอง เป็นการนำเอาพืชมาดอง เนื่องจากพืชบางอย่างไม่เหมาะสมต่อการทานสด การดองเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำให้กินง่ายและได้ประโยชน์
- การปั้นเป็นยาลูกกลอน เป็นการบดเป็นผงและผสมกับน้ำผึ้ง และปั้นเป็นก้อนให้รับประทานได้ง่าย
- การคั้นน้ำ เป็นอีกรูปแบบ ที่นิยมใช้กับพืชสดๆ คั้นเอาน้ำจากผล หรือ ใบของพืชมาใช้ประโยชน์
- ยาพอก เป็นลักษณะของการรักษาภายนอก เช่น แผลสด แผลติดเชื้อ เป็นต้น
หลักการในการใช้สมุนไพร
สำหรับหลักการสำหรับการใช้สมุนไพรไทย เพื่อการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค มีหลักการในการปฏิบัติสำหรับการใช้งาน ดังนี้
- สำหรับอาการของโรคที่ต้องรับการรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น ไข้สูงผิดปรกติ อาการซึม อาการไม่รู้สึกตัว การปวดอย่างรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด อาการตกเลือดจากช่องคลอด อาการท้องเดินอย่างรุนแรง ควรนำส่งแพทย์เพื่อรับการรักษา ไม่ควรรักษาด้วยตนเอง
- ห้ามใช้ในปริมาณที่มาก และ ห้ามใช้ติดต่อกันนานเกินไป เพราะ จะเกิดผลเสียมากกว่าการรักษาได้
- สำหรับโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคอย่างชัดเจน ควรรับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ควรรักษาด้วยตนเอง ด้วยการใช้สมุนไพร
- หากเกิดอาการแพ้ หรือร่างกายผิดปรกติ ควรหยุดการใช้ทันที
- การรักษาโรคและบำรุงร่างกาย ควรได้รับคำแนะนำการใช้งานจากผู้มีความรู้
การเก็บรักษาสมุนไพร
- ควรเก็บรักษาไว้ในพื้นที่ไม่ร้อนและไม่มีความชื้น โดยสถานที่เก็บต้องเป็นพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี
- ต้องเก็บรักษาไว้ในที่แห้ง เพื่อป้องกันเชื้อรา สถานที่จัดเก็บต้องให้แห้งจริงๆ
- ควรแยกประเภทให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการหยิบผิด ซึ่งหากใช้ผิดก็เป็นอันตรายกับคนป่วยได้
- ต้องตรวจคุณภาพของสมุนไพรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาคุณภาพเพื่อจะได้รักษาอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
คำแนะนำการใช้สมุนไพร
สำหรับการใช้สมุนไพรไทยเพื่อการรักษาโรคและบำรุงร่างกาย เป็นเสมือนดาบสองคม สามารถให้คุณและโทษได้ ซึ่งการใช้ประโยชน์ต้องใช้อย่างถูกต้อง และ ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม จึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
บทสรุป
สมุนไพร สามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการรักษา หรือ ป้องกันการเกิดโรคได้ เนื้อหาต่างๆของเราได้รวบรวม พืชใกล้ตัว ชื่อวิทยาศาสตร์ ชิ่ือเรียกอืนๆตามแต่ละท้องถิ่น ลักษณะของพืช และสรรพคุณการรักษาโรค และ โทษจากการใช้ ตลอดจนวิธีใช้ แต่การรักษาโรคต้องได้รับการรักษาและวินิจฉัยสาเหตุของการเกิดโรคจากแพทย์เท่านั้น เราไม่แนะนำให้ท่านศึกษาข้อมูลและนำสมุนไพรไปใช้เพื่อการรักษาโรค โดยขาดคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
สุดยอดสมุนไพรไทยที่ได้รับความนิยมในการทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
- รางจืด สรรพคุณ ช่วยขับสารพิษ ช่วยสมานแผล ใช้ลดไข้ แก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้แพ้ผื่นคัน แก้เบาหวาน ลดน้ำตาลในเส้นเลือด
- ว่านหางจระเข้ สรรพคุณรักษาแผล บำรุงผิว รักษาแผลในกระเพาะอาหาร และ บำรุงเส้นผม นิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำเครื่องสำอางค์ สำหรับผิว สำหรับผม
- ดอกอัญชัน สรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ บำรุงเส้นผม และเป็นยาระบายอ่อนๆ แก้อาการคลื้นไส้ อาเจียน ใช้บำรุงความงาม
- ดอกคำฝอย สรรพคุณช่วยขับประจำเดือน บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต ลดไขมันในเลือด ขับเสมหะ แก้โรคผิวหนัง แก้บวม บำรุงระบบประสาท
- ใบบัวบก สรรพคุณช่วยบำรุงสายตา ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ลดไข้ตัวร้อน
- ใบเตย สรรพคุณช่วยลดกระหายน้ำ บำรุงหัวใจ บำรุงสายตา
- ตะไคร้ สรรพคุณช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย ช่วยให้ผ่อนคลาย